วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

การเลี้ยง "เฟิร์น - มอส"





พรรณไม้น้ำกลุ่มมอสและเฟิร์น โดยปรกติพรรณไม้ทั้ง 2 ชนิดนี้จะเป็นไม้ชายน้ำ เจริญเติบโตตามขอนไม้ หรือโขดหินริมน้ำที่มีความชื้นในอากาศสูง มอสและเฟิร์นที่ขึ้นตามธรรมชาติเหล่านี้จะจมอยู่ใต้น้ำในฤดูน้ำหลาก หลายชนิดสามารถปรับสภาพให้อยู่ใต้น้ำได้ถาวร เฟิร์นที่นิยมนำมาประดับในตู้ปลานั้นมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด แต่ชนิดที่ได้รับความนิยมอย่างมากเห็นจะหนีไม่พ้นเฟิร์นรากดำหรือเฟิร์นชวา (Microsorum sp) ซึ่งเฟิร์นรากดำนั้นก็มีแบบแปลกๆที่กลายพันธุ์ออกไปจากต้นปรกติ จนใบมีลักษณะแปลกตา เช่น cv Antelope ซึ่งเป็นต้นกลายพันธุ์ของเฟิร์นรากดำ หรือที่บ้านเราเรียกกันง่ายๆว่าเฟิร์นเขากวาง ซึ่งต้นจะมีขนาดย่อมลงมามากกว่า และปลายใบแตกออกเป็นแฉก อย่างที่นักเล่นต้นไม้มักเรียกว่าเครสต์ (Crest) นอกจากนี้ยังมีเฟิร์นรากดำชนิดใบแคบ ซึ่งโตค่อนข้างช้ากว่าต้นธรรมดา ทำให้ขยายพันธุ์ได้ยาก ปัจจุบันยังคงถือว่าเป็นไม้ที่ค่อนข้างมีราคาสูง





      ส่วนมอสมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีรูปทรงและมีการขึ้นฟอร์มแตกต่างกัน นอกจากมอสชวา ซึ่งเป็นมอสชนิดเก่าแก่ที่สุดในวงการพรรณไม้น้ำสวยงามแล้ว ปัจจุบันเรายังมีมอสรูปร่างแปลกตาและน่าสนใจอีกหลายชนิด แต่มอสเหล่านี้ยังไม่ได้รับการจำแนกชนิดทางวิทยาศาสตร์ลงไปให้แน่ชัดเท่าใดนัก เราจึงยังไม่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ที่แน่นอนสำหรับมอสเหล่านี้ ทุกวันนี้เราอาศัยชื่อทางการค้าต่างๆที่เรียกตามลักษณะเด่นของมอสชนิดนั้นๆ เช่น อิเร็คมอส (Erect Moss) ที่มีลักษณะตั้งขึ้น คริสต์มาสมอส (Christmas Moss) ที่มีใบเป็นสามเหลี่ยมคล้ายต้นสน เป็นต้น


       วิธีการปลูกเฟิร์นและมอสนิยมปลูกกันบนวัสดุต่างๆ เช่น อิฐมอญ กระถาง หรือปลูกเลียนแบบธรรมชาติโดยใช้หินและขอนไม้รูปทรงต่างๆ ในช่วงแรกจะต้องใช้เชือกหรือเส้นเอ็นเพื่อยึดมอสไว้กับวัสดุสักระยะหนึ่ง ก่อนมันจะแข็งแรงพอที่เจริญเติบโตปกคลุมวัสดุที่ว่าจนมิด ซึ่งนานๆไปมอสจะฟูขึ้นมากเฉพาะภายนอก ส่วนข้างในจะโทรม เพราะได้รับแสงไม่เต็มที่และสม่ำเสมอทั้งกอ ก็อาจต้องรื้อออกมาเพื่อตัดแต่งและพันเข้าไปใหม่ มอสและเฟิร์นเหล่านี้สามารถเลี้ยงได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ชุดคาร์บอน แต่สิ่งสำคัญก็คือน้ำ ควรจะมีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ ไม่ควรเกิน 28 องศาเซลเซียส มิฉะนั้นแล้วใบของเฟิร์นจะเป็นสีดำคล้ำ ไม่สวย 


        โดยมอสจะโตช้า ด้วยพืชทั้ง 2 ชนิดมักขึ้นตามลำธารในป่า ซึ่งน้ำในนั้นจะค่อนข้างเย็น ดังนั้น ตู้ที่จะเลี้ยงพืชเหล่านี้ได้ดีต้องเป็นตู้ที่มีอุณหภูมิของน้ำต่ำ ผู้เลี้ยงสามารถช่วยได้โดยการใช้พัดลมระบายอากาศเป่าลงไปบนผิวน้ำ หรือเครื่องทำความเย็นอย่างชิลเลอร์ หรือตั้งตู้ปลาไว้ในห้องแอร์ก็จะสามารถเลี้ยงได้ดีเช่นกัน





 แต่ถ้าหากตู้ที่ใช้เลี้ยงมีชุดคาร์บอนครบแล้วละก็ ผู้เขียนขอแนะนำ เฟิร์นโบลบิทิส (Bolbitis) ซึ่งเป็นเฟิร์นน้ำขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง เฟิร์นชนิดนี้จะเชิดใบประกอบแบบขนนกขึ้นสูง ดูงามสง่า นับเป็นเฟิร์นน้ำในดวงใจของใครหลายๆคน เฟิร์นชนิดนี้นอกจากต้องการน้ำเย็นแล้วยังต้องการแสงไฟค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับมอสและเฟิร์นชนิดอื่นๆที่ได้กล่าวไปในข้างต้น โบลบิทิสโตไม่เร็วนัก ต้องอาศัยเวลาและเว้นระยะให้มันเติบโต แต่เมื่อโตเต็มที่แล้วก็จัดว่าเป็นเฟิร์นที่ดึงดูดสายตาผู้ชมได้ดีมากชนิดหนึ่ง จึงทำให้เป็นเฟิร์นน้ำที่มีราคาค่อนข้างสูงจนทุกวันนี้ มอสและเฟิร์นเป็นพืชที่ทำให้ตู้มีความสดชื่น และให้ความรู้สึกคลาสสิกในคราวเดียวกัน ถึงแม้จะมีสีเขียวเพียงสีเดียว แต่ผู้เลี้ยงก็สามารถเล่นลูกเล่นได้จากลักษณะต่างๆของใบที่มีอยู่ด้วยกันสารพัดรูปแบบ ทำให้ตู้ปลาเป็นสถานที่พักสายตาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเหนื่อยล้าจากการทำงาน 



 ปัจจัยที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของมอสน้ำ (Vesicularia dubyana (C. Muell) Broth,1925 3 ปัจจัย ได้แก่ ชนิดของวัสดุปลูก ความเข้มข้นของปุ๋ย และปริมาณความเข้มแสง การทดลองเปรียบเทียบวัสดุปลูก 4 ชนิด เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าขอนไม้เป็นวัสดุปลูกที่ทำให้มอสน้ำเจริญเติบโตได้ดีที่สุด รองลงมาได้แก่หินขรุขระ ตาข่าย และหินเรียบ โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.60±0.282,  0.53±0.227,  0.39±0.122  และ 0.15±0.019 กรัม ตามลำดับ เมื่อนำขอนไม้มาเป็นวัสดุปลูก โดยทดลองใช้ปุ๋ย NPK สูตร 25 – 5 – 5 ที่ระดับความเข้มข้น 7 ระดับ เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าการใส่ปุ๋ยที่ระดับความเข้มข้น 12.5 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้มอสน้ำเจริญเติบโตดีที่สุด รองลงมาได้แก่ 15.0,  10.0,  7.5,  5.0,  2.5  และ 0.0 มิลลิกรัมต่อลิตร โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.87±0.045,  2.77±0.509,  2.01±0.294,  1.58±0.205,  1.54±0.156,  1.36±0.142  และ 1.17±0.027 กรัม ตามลำดับ สำหรับการทดลองปลูกมอสน้ำที่ความเข้มข้นแสงระดับต่างๆ 4 ระดับ เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าที่ระดับความเข้มแสง 5,300 ลักซ์ ทำให้มอสน้ำมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากที่สุด เฉลี่ย 3.00±0.263 และพบว่ามีตะไคร่น้ำเกาะอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเป็นน้ำหนักที่รวมกับตะไคร่น้ำที่มาเกาะบนมอสน้ำด้วย แต่ที่ระดับความเข้มแสง 2,500 ลักซ์ เป็นช่วงความเข้มแสงที่ทำให้มอสน้ำมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากรองลงมา เฉลี่ย 2.64±0.023 กรัม โดยไม่มีตะไคร่น้ำเกาะ และไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P>0.05) กับที่ระดับความเข้มแสง 5,300 ลักซ์ ส่วนที่ระดับความเข้มแสง 3,900 และ 1,100 ลักซ์ มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.62±0.114  และ 1.14±0.012 กรัม ตามลำดับ




                                     _________________________________________________

1 ความคิดเห็น:

  1. ต้องการทราบว่ามีมอสตัวไหนบ้างเลี้ยงในตู้ปลาได้บ้างโดยไม่ต้องมีไฟ และ งัอ คาร์บอน

    ตอบลบ